7 วิธีเพิ่มความฉลาด ลดอาการขี้ลืม
Article Index
7 วิธีเพิ่มความฉลาด ลดอาการขี้ลืม
หน้า #
All Pages
ใครบ้าง จะเกิดมาพร้อมกับความจำอันล้ำเลิศ และไม่เคยลืมอะไรเลยแม้แต่ครั้งเดียว คาดว่า คงจะไม่มี เพราะความจำของเราทุกคน มักจะถูกลดเลือนไปด้วยกาลเวลา และสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย
ใครบ้าง จะเกิดมาพร้อมกับความจำอันล้ำเลิศ และไม่เคยลืมอะไรเลยแม้แต่ครั้งเดียว คาดว่าคงจะไม่มี เพราะความจำของเราทุกคน มักจะถูกลดเลือนไปด้วยกาลเวลา วัย และสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย เช่น โรคภัยไข้เจ็บ สภาวะสมองขาดเลือด ความเครียด ความเร่งรีบ และหน้าที่การงาน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากอาการหลงลืมของคุณนั้น เกิดขึ้นไม่ค่อยบ่อยนัก มันก็คงจะไม่มีผลกระทบอะไรมาก แต่ถ้าพบว่า จากคนที่เคยมีความจำดี กลับกลายเป็นคนที่สมองอ่อนล้า เฉื่อยชา ความจำถดถอย พฤติกรรม และอารมณ์แปรปรวน ไม่สม่ำเสมอ บ่อยครั้งขึ้น มันก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก และนั่นก็อาจจะนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วย

ดังนั้น วันนี้ เราจึงมีวิธีลดอาการหลงๆ ลืม ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำ ให้กับสมองมาฝากกัน ซึ่งจากผลการวิจัยบอกว่า ยิ่งทำได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสมองของเราเอง

บริหารสมองอยู่เสมอ
ยิ่งเราใช้สมองมาก และบ่อยเท่าไหร่ เซลล์สมองจะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย ส่วนวิธีบริหารสมองนั้น ก็สามารถทำได้หลายอย่าง เช่น การเล่นหมากฮอส ต่อจิ๊กซอว์ หรือ เล่นครอสเวิร์ด ในเวลาว่าง

กินยาเสริมความจำ
มีผลการวิจัยยืนยันว่า หลังจากการกินโสมในปริมาณ 400 มิลลิกรัมไปแล้ว 1 ชั่วโมง จะทำให้ความสามารถในการจำดีขึ้น และส่งผลต่อไปอีกถึง 6 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันว่า แปะก๊วย ก็เป็นอีกสิ่ง ที่ส่งผลดีต่อระบบความจำเหมือนกัน เพราะจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตในสมอง

ส่วนการศึกษาในอเมริกาพบว่า Vinpocetine ที่สกัดได้จากต้น Periwinkle (ไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง ที่มีดอกสีฟ้า ใบเข้มเป็นมัน) นั้น จะช่วยเพิ่มความจำ และความจดจ่อ ในสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้มากขึ้นได้


กินผักและผลไม้สด
เป็นที่ทราบกันดีว่า ผัก และผลไม้สดนั้น มีประโยชน์ต่อร่างกายเรามาก ซึ่งก็รวมถึงประโยชน์ต่อความจำของเราด้วย เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่สูงในผัก และผลไม้สดนั้น มีประสิทธิภาพในการทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากการสะสมเป็นเวลานานของเนื้อเยื่อไขมัน อันจะทำให้สมองอ่อนแอลง และช่วยชะลออาการความจำถดถอยในผู้สูงอายุ ซึ่งผักและผลไม้สด ที่มีสรรพคุณดังกล่าว ก็คือ ผัก ผลไม้ที่มีสีแดง ม่วง และน้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ ต่างๆ ซึ่งจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ชนิดที่มีความเข้มข้นสูงที่เรียกว่า Anthocyanidin อยู่มาก นอกจากนี้ ยังรวมถึง แอปเปิ้ลแดง องุ่นม่วง องุ่นแดง มะเขือเทศ หอมแดง กะหล่ำม่วง มะเขือม่วง ลูกหว้า ข้าวแดง ข้าวนิล ข้าวเหนียวดำ ถั่วแดง ถั่วดำ มันเทศสีม่วง พริกแดง และ เชอร์รี่ ด้วย

ลดปริมาณแอลกอฮอล์
นอกจากจะเป็นอันตรายต่อตับ และลดความสามารถในการขับขี่ลงแล้ว แอลกอฮอล์ ยังส่งผลต่อการปลดปล่อยสารสำคัญในสมอง โดยจะไปขัดขวางความสามารถ ในการสร้างความจำใหม่ ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลข และเหตุการณ์ณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านี้ ความสามารถในการระลึกเหตุการณ์ หรือเรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปด้วย ดังนั้น หากลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ลง สมองก็จะสามารถสร้างความจำใหม่ๆ ขึ้นมาได้

ออกกำลังกาย
นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว การออกกำลังกายยังมีส่วนดีต่อระบบสมองอีกด้วย โดยขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อนไหวนั้น สมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า สมองจะได้รับกลูโคส และออกซิเจนมากขึ้น ทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกาย ยังไปเพิ่มประสิทธิภาพ ในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมอง ที่เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor ให้ทำงานได้ดีขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป กลับไม่เกิดประโยชน์ต่อระบบความจำ

จดบันทึกช่วยจำ
เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรานั้น เมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ตรงหน้า ความสามารถในการจดจำสิ่งอื่น ก็จะลดลง ฉะนั้น การย้ายข้อมูลจากสมอง มาเก็บไว้ในสมุดบันทึก อย่าง คอมพิวเตอร์ ปาล์ม หรือ โทรศัพท์มือถือ ก็เหมือน เป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูล หรือเพิ่มพื้นที่ว่างในสมอง เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

ทำสมาธิ
สมองของคนเรานั้น ทำงานที่ความถี่ หรือคลื่นสมอง ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำ หรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิดขึ้น คลื่นเบต้าของสมอง จะทำงานเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สมอง ลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิดให้ช้าลง โดยการทำสมาธิ หลับตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จากนั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติ อยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้น หายใจเข้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เวลาผ่อนลมหายใจออก ให้ตั้งสติ ที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกัน ประมาณ 10 นาที ทุกวันรับรองว่าสมองตื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่ง โปร่งใสเหมือนเดิม


แหล่งข้อมูล
http://www.pooyingnaka.com